เลือกอ่านตามหัวข้อ
Toggle“วันผึ้งโลก”
ทุกวันที่ 20 พฤษภาคมของทุกปี โลกทั้งใบร่วมกันเฉลิมฉลอง วันผึ้งโลก (World Bee Day) เพื่อย้ำเตือนให้มนุษย์ตระหนักถึงความสำคัญของ “ผึ้ง” และแมลงผสมเกสรที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการคงอยู่ของระบบนิเวศ การผลิตอาหาร และความมั่นคงทางโภชนาการของประชากรโลก
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ และเราต่างเป็นหนี้พวกมันอย่างใหญ่หลวง หากปราศจากแมลงผสมเกสร อาหารที่เราบริโภค การเกษตร และความหลากหลายทางชีวภาพจะไม่เหมือนเดิมนับจากนี้
ในปีนี้ โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหากไม่มีผึ้งและแมลงผสมเกสรเหล่านี้!
ปัจจุบันมีผึ้งหลากหลายสายพันธุ์ทั่วโลกมากกว่า 20,000 ชนิด ทั้งในธรรมชาติและที่มนุษย์เลี้ยงไว้ในภาคเกษตรกรรม โดยผึ้งมีบทบาทสำคัญในการช่วยผสมเกสรให้แก่พืชหลากหลายชนิด ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักที่ส่งผลต่อความสมดุลของระบบนิเวศและการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอย่างกลมกลืน
พืชดอกส่วนใหญ่ต้องอาศัยแมลงและสัตว์อื่น ๆ ในการผสมเกสร
จากการศึกษาพบว่า พืชดอกส่วนใหญ่จำเป็นต้องอาศัยแมลงและสัตว์ในการผสมเกสร โดยมีการประมาณว่า ในบรรดาพืชดอก (Angiosperms) ที่มีอยู่ราว 352,000 ชนิดทั่วโลก มีตั้งแต่ร้อยละ 67 ไปจนถึงร้อยละ 96 ที่ต้องพึ่งพากลไกการผสมเกสรจากสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่าจะเป็นแมลง ผึ้ง นก หรือค้างคาว
นอกจากนี้ ความพึ่งพาของพืชต่อสัตว์ในการผสมเกสรมักเพิ่มขึ้นตามภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ โดยพืชในเขตอบอุ่นมีการพึ่งพาสัตว์ในการผสมเกสรประมาณร้อยละ 78 ขณะที่พืชในเขตร้อนมีอัตราการพึ่งพาสูงถึงร้อยละ 94 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของระบบนิเวศการผสมเกสรในพื้นที่เขตร้อน
ทำไมผึ้งจึงเป็นนักผสมเกสรที่สำคัญ
แม้ผึ้งจะเป็นแมลงที่ตัวเล็กนิดเดียว แต่บทบาทของพวกมันยิ่งใหญ่มาก
ลองจินตนาการว่า ถ้าธานอสดีดนิ้วให้ผึ้งทั้งหมดหายไปในวันนี้ โลกของเราในวันพรุ่งนี้ก็จะมีหน้าตาไม่เหมือนเดิม
เริ่มตั้งแต่ดอกไม้มากมายไม่ได้รับการผสมเกสร กลีบดอกค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงโดยไม่ติดผล ไม่มีเมล็ดเพื่อขยายพันธุ์สู่รุ่นถัดไป หากเป็นในป่า ก็จะส่งผลกระทบไปถึงสัตว์กินผลไม้ที่จะไม่มีอาหารกินและทยอยล้มตาย ไม่ว่าจะเป็นนกเงือก ชะนี ลิง และอื่น ๆ อีกมากมาย ตามมาด้วยสัตว์ผู้ล่าที่จะไม่มีอาหาร เรียกได้ว่ากระทบไปทั้งห่วงโซ่ จากนั้น ผืนป่าก็จะค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงเพราะไม่มีเมล็ดพืชรุ่นใหม่เติบโตเป็นต้นกล้า ที่เติบโตได้สายพันธุ์ก็อ่อนแอ ผืนป่าในวันนี้คือผืนป่าที่รอวันตาย ป่าคือแหล่งกำเนิดต้นน้ำ คงจินตนาการลำบาก หากแม่น้ำบนผืนดินก็แห้งเหือดไปด้วย กลายเป็นทะเลทรายในที่สุด
หากมาดูในเมือง โซนผักผลไม้ในซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีหน้าตาเปลี่ยนไป พืชผักผลไม้ที่เราคุ้นเคยจะหายไปราวหนึ่งในสาม นับตั้งแต่แอปเปิล มะม่วง แตงโม ฟักทอง มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี ฯลฯ เพราะดอกของพืชเหล่านี้ไม่ได้รับการผสมเกสรจึงไม่ติดผล ร้านกาแฟต่าง ๆ ทยอยปิดตัวเพราะไม่มีเมล็ดกาแฟขาดแคลนกว่าครึ่ง หรือถ้าจะมี ราคาก็จะแพงลิ่ว เพราะเกษตรกรต้องผสมเกสรด้วยมือ ซึ่งเปลืองทั้งเวลาและแรงงาน ตามมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ประสิทธิภาพก็ไม่เทียบเท่าผึ้ง
ลมผสมเกสรแทนได้ไหม ?
แม้ว่าลมจะช่วยผสมเกสรได้ แต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อย เพราะโอกาสที่เกสรตัวผู้ของพืชชนิดหนึ่งจะถูกลมพัดไปตกลงบนเกสรตัวเมียของพืชชนิดเดียวกันนั้นน้อยมาก พืชที่อาศัยลมผสมเกสรเป็นหลักจึงต้องผลิตเกสรตัวผู้ในปริมาณมหาศาลเพื่อให้มีโอกาสมากพอที่จะมีเกสรบางส่วนที่โชคดี
ในขณะที่พืชอีกกว่า 80% ของสปีชีส์พืชดอกบนโลกนี้ล้วนวิวัฒนาการมาเพื่ออาศัยสัตว์เป็นแม่สื่อในการผสมเกสร ดอกไม้เหล่านี้จึงไม่จำเป็นต้องผลิตเกสรมากเท่า ดังนั้น หากแมลงที่วิวัฒนาการมาคู่กันหายไป ดอกไม้เหล่านี้ก็จะประสบปัญหา
ผสมเกสรในตัวเองล่ะ ?
แม้ดอกไม้หลายชนิดจะมีสองเพศในดอกเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักมีกลไกป้องกันการผสมเกสรในตัวเอง เช่น เกสรแต่ละเพศเจริญเต็มที่คนละช่วงเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการผสมเลือดชิด (inbreeding) ที่ทำให้รุ่นลูกมีความเสี่ยงมากขึ้น ในขณะที่การผสมข้ามดอกเป็นการเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรม ซึ่งเพิ่มโอกาสอยู่รอดและมีโอกาสที่จะมีความต้านทานโรคดีกว่า ยิ่งในยุคโลกร้อนและเกิดภัยพิบัติรุนแรง การที่พืชมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงกว่า จะมีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่ามาก
ผีเสื้อ นก ค้างคาว มด แมลงวัน ทำหน้าที่แทนได้ไหม ?
จริงอยู่ที่ต่อให้ผึ้งหายไป โลกเราก็ยังมีแมลงผสมเกสรอื่น ๆ เช่น ผีเสื้อ นก ค้างคาว แมลงวัน ยุงตัวผู้ ฯลฯ แต่หากเทียบสเกลกันแล้ว ผึ้งถือเป็นนักผสมเกสรที่มีบทบาทมากกว่าสัตว์อื่น ๆ อย่างเทียบกันไม่ติด
เหตุผลแรกก็คือ จำนวนประชากรผึ้งที่มีอยู่มหาศาล แค่ผึ้งหลวงรังใหญ่ ๆ หนึ่งรัง ก็อาจมีสมาชิกได้ถึง 60,000 ตัว ในขณะที่ผีเสื้อในบริเวณนั้นอาจมีแค่หลักสิบหรือหลักร้อย
เหตุผลที่สองก็คือ ผีเสื้อ นก หรือแมลงตอมดอกไม้อื่น ๆ เข้าหาดอกไม้เพียงเพื่อกินน้ำหวานแล้วได้เกสรติดตัวเป็นของแถม แต่ผึ้งจงใจเก็บเกสร โดยหลายชนิดมีกระเปาะพิเศษที่ขาหรือท้องเพื่อเก็บเกสรโดยเฉพาะ ทำให้ในการเข้าหาดอกไม้แต่ละครั้ง ผึ้งนำพาเกสรติดตัวได้มากกว่า การผสมเกสรจึงมีประสิทธิภาพกว่า
เหตุผลที่สามคือ ดอกไม้บางชนิดวิวัฒนาการมาคู่กับนักผสมเกสรบางชนิดเท่านั้น และนักผสมเกสรบางชนิดก็เข้าหาดอกไม้เฉพาะชนิด เช่น ค้างคาวผสมเกสรดอกไม้ที่บานกลางคืน แมลงวันชอบเข้าหาดอกไม้ที่มีกลิ่นเหม็น เช่น กระโถนฤาษี หรือดอกไม้บางกลุ่ม เกสรซ่อนอยู่ในกระเปาะที่มีรูเปิดแค่เล็ก ๆ ที่ต้องอาศัยการผสมเกสรแบบพิเศษที่เรียกว่า การผสมเกสรแบบเขย่า (buzz pollination) ที่มีผึ้งบางชนิดเท่านั้นที่ทำได้
ดังนั้น หากผึ้งหายไป นักผสมเกสรที่เหลืออยู่ก็อาจทำหน้าที่ทดแทนไม่ได้ทั้งหมด
ข้อยืนยันจากงานวิจัย
มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพในการผสมเกสรของผึ้ง เช่น งานวิจัยของ รศ. ดร. อรวรรณ ดวงภักดี และคณะ ในปี 2021 ซึ่งศึกษาการผสมเกสรของมะเขือเทศราชินีพบว่า โรงเรือนที่มีชันโรงติดผลที่ 82% เมื่อเทียบกับโรงเรือนที่ไม่มีชันโรงแต่ใช้มือผสมเกสรที่ติดผลแค่ 78% ขณะที่โรงเรือนที่ไม่มีชันโรงและปล่อยให้ลมทำหน้าที่ ติดผลแค่ 17% อีกทั้งเมื่อดูคุณภาพผลผลิต โรงเรือนที่มีชันโรงก็ให้ผลผลิตดีกว่า
เช่นเดียวกับการทดลองที่ใช้ผึ้งโพรงผสมเกสรเสาวรสสีม่วง ซึ่งพบว่าช่วยให้ติดผล 100% อีกทั้งน้ำหนักผล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผล น้ำหนักเนื้อ จำนวนเมล็ดก็ดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีผึ้ง
ผึ้งไม่ใช่แค่ผสมเกสร แต่ยังช่วยฟื้นฟูป่า
ในวันที่มนุษย์ทำให้ผืนป่าถูกตัดขาดและกระจายเป็นหย่อม ๆ ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชในป่าหย่อมนั้นลดลง ซึ่งส่งผลถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนั้นในอนาคต แต่ผึ้งบางชนิด เช่น ผึ้งหลวง สามารถบินหากินได้ไกลหลายสิบกิโลเมตรต่อวัน ทำให้พวกมันสามารถนำพาเกสรจากป่าหย่อมหนึ่งไปสู่ป่าอีกหย่อม เพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมให้พืช ซึ่งเท่ากับเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และโอกาสรอดของกล้าไม้รุ่นถัดไป
อ้างอิง : 2564-ความหลากหลายของพืชอาหารผึ้ง-อรวรรณ.pdf (kmutt.ac.th)