เคยสงสัยไหมว่า ผึ้งเปลี่ยนน้ำหวานจากดอกไม้ธรรมดาให้กลายเป็นน้ำผึ้งมากคุณค่าได้อย่างไร
ปัจจัยที่ประกอบกับขึ้นมาเป็นคุณค่าของน้ำผึ้งอาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ
- คุณค่าจากตัวน้ำหวานดอกไม้เอง ซึ่งบางชนิดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยา
- เอนไซม์ของผึ้งที่ใส่ลงไปในกระบวนการ ซึ่งทั้งช่วยย่อยน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ให้เป็นโมเลกุลเดี่ยว อีกทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย
- จุลินทรีย์ในน้ำผึ้ง
กว่าจะมาเป็นน้ำผึ้งแสนหวาน 100 กรัม ที่บรรจุอยู่ในขวด เหล่าผึ้งงานต้องเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ถึง 570,000 ดอก1 ซึ่งกระบวนการจะเริ่มจากผึ้งงานใช้อวัยวะคล้ายหลอดที่เรียกว่า proboscis ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ แต่น้ำหวานนี้จะไม่ได้ลงไปในกระเพาะที่ย่อยอาหารทั่วไป แต่จะถูกเก็บในกระเพาะพิเศษที่เรียกว่า ‘honey stomach’ ซึ่งในนั้นมีเอนไซม์สำคัญหลายอย่างที่ช่วยสร้างคุณค่าให้น้ำผึ้ง เอนไซม์และจุลินทรีย์เหล่านี้นี้ไม่เหมือนกันทั้งหมดในผึ้งและชันโรงแต่ละชนิด ทำให้น้ำผึ้งที่ผลิดได้ จากผึ้งแต่ละประเภทมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน
จากนั้น เมื่อผึ้งงานบินกลับถึงรัง มันก็จะสำรอกน้ำหวานในกระเพาะพิเศษออกมาเพื่อส่งต่อให้เพื่อนอีกกลุ่มที่ทำหน้าที่แปรรูปน้ำหวานโดยเฉพาะ ผึ้งกลุ่มนี้จะรับน้ำผึ้งมา แล้วส่งต่อให้เพื่อนอีกตัวในทีมแบบ ‘mouth to mouth’ สลับไปมา กระบวนการนี้เป็นหนึ่งในการรักษาความสะอาดในพื้นที่เก็บอาหารในผึ้ง ผึ้งงานที่บินไปข้างนอกมา จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปสำผัสแหล่งเก็บอาหารโดยตรง หลังจากนั้นผึ้งงานที่อยู่ในรังก็จะกระพือปีกเพื่อไล่ระบายความชื้น กระบวนการนี้จะทำให้น้ำค่อยๆ ระเหยไปจนน้ำหวานข้นหนืดขึ้น พร้อมกับเอนไซม์ที่ถูกเติมลงไปมากขึ้น
เมื่อความหนืดของน้ำหวานได้ที่แล้ว ผึ้งงานก็จะนำไปใส่ในหลอดรวง แล้วกระพือปีกโบกพัดให้น้ำระเหยต่ออีก จนระดับความชื้นเหลือประมาณ 18% (จากจุดเริ่มต้นที่ราวๆ 80-75% เมื่อเก็บจากดอกไม้) จากนั้น ผึ้งก็ใช้ไขผึ้งปิดหลอดรวง แล้วก็เป็นอันจบสิ้น
ผึ้งจะใช้น้ำผึ้งเหล่านี้ในการเลี้ยงดูตัวอ่อนและเก็บไว้เป็นอาหารสำรองยามขาดแคลน เช่น ในฤดูหนาว ในช่วงที่ดอกไม้หายาก หรือในวันที่ฝนตกหนักและออกไปหาอาหารไม่ได้
ดังนั้น การเก็บน้ำผึ้งที่ดี จึงไม่ควรเก็บไปทั้งหมด แต่ต้องเหลือน้ำผึ้งบางส่วนไว้ให้ผึ้งเสมอ
อ่านเรื่องราวการเก็บน้ำผึ้งแบบยั่งยืนได้ ที่นี่
อ้างอิง



